บทภาวนาเพื่อวอนขอสันติภาพในยูเครน นพวาร 17-25 มีนาคม 2022
(ดัดแปลงจาก: Pope JPII's Prayer for Peace)
ข้าแต่พระเจ้าแห่งความเมตตากรุณา พระองค์ทรงประทานสันติสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดมา และตรัสว่าความสุขแท้แด่ผู้สร้างสันติ “เพราะพวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า” พระองค์ทรงเรียกร้องให้ข้าพเจ้าทั้งหลายดําเนินในหนทางแห่งสันติและการคืนดี และมีเมตตาเหมือนที่พระองค์ทรงพระเมตตา ขอโปรดให้พระสุรเสียงของพระองค์ดังก้องในใจของทุกคน
ข้าพเจ้าทั้งหลายภาวนาวิงวอน เพื่อชาวยูเครนที่กําลังประสบภัย สงคราม ความขัดแย้งและความตาย โปรดอวยพระพรบรรดาผู้นําประเทศให้มีวิจารณญาณ วิสัยทัศน์ และความอุตสาหะ ในการสร้างโลกแห่งความยุติธรรมและสันติเพื่อทลายกำแพงแห่งความเกลียดชังและการแบ่งแยก
ข้าพเจ้าทั้งหลายขอมอบถวายทุกครอบครัวและประชาชนในยูเครน โปรดให้พวกเขาไม่แพ้พ่ายต่อความท้อแท้สิ้นหวัง แต่เป็นความหวังใหม่ ให้แก่กันและกันในยามวิกฤตินี้ โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน เคารพในศักดิ์ศรีและช่วยเหลือพี่น้องในยามยากไร้
ขอโปรดประทานการพักผ่อนตลอดนิรันดร์แก่บรรดาผู้เสียชีวิต และโปรดบำบัดรักษาผู้บาดเจ็บทั้งหลาย โดยอาศัยคําเสนอวิงวอนของพระนางมารีย์ ข้าพเจ้าทั้งหลายวอนขอสันติภาพในยูเครน
วันทามารีย์เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระเจ้าสถิตกับท่าน ผู้ได้รับพระพรกว่าสตรีใดๆ และพระเยซูโอรสของท่านทรงได้รับพระพรยิ่งนัก สันตะมารีย์ พระมารดาพระเจ้า โปรดภาวนาเพื่อลูกทั้งหลาย ผู้เป็นคนบาป บัดนี้ และเมื่อจะตาย อาแมน
ถึงเวลาหรือยัง! ที่ผู้ผลิตสินค้า และผู้บริโภค ต้องร่วมรับผิดชอบในการแก้ปัญหาขยะต่างๆ โดยใช้หลักการ EPR
แน่นอนว่าไม่มีบริษัทไหนอยากได้ชื่อว่าเป็นตัวการสร้างขยะออกสู่สิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่งหลายคนโทษว่าก็เป็นเพราะพฤติกรรมการใช้ของผู้บริโภค และระบบจัดการขยะของภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพเอง จะโทษบริษัทได้อย่างไร ความจริงก็คือ บริษัทต่างๆ คือต้นทางหลักในการนำบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งเหล่านี้มาใช้ บริษัทยิ่งมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งใช้มาก
สิ่งสำคัญที่บริษัทชั้นนำจำเป็นต้องนำมาใช้ในการออกแบบบรรจุภัณฑ์และร่วมแก้ปัญหาขยะที่เกิดจากสินค้าของตัวเองคือ หลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility – EPR) ซึ่งโธมัส ลินด์ควิสท์ (Thomas Lindhqvist) แห่งมหาวิทยาลัยลุนด์ ประเทศสวีเดน เป็นคนเสนอแนวคิดนี้
โดยสรุป EPR (Extended Producer Responsibility) ก็คือ หลักการที่ให้ผู้ผลิตคำนึงถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม , ผู้ผลิตต้องมีความรับผิดชอบในการจัดการสินค้าของตัวเองหลังสินค้านั้นๆหมดอายุการใช้งาน หมายความว่า ความรับผิดชอบไม่ได้จบแค่การขายสินค้าเท่านั้น แต่ต้องคิดด้วยว่าเมื่อใช้เสร็จแล้วจะนำสินค้ากลับมาจัดการอย่างไร เพื่อแก้ปัญหาการจัดการของเสียและการนำวัสดุที่ยังใช้ได้กลับมารีไซเคิล โดยนโยบายนี้ จะทำให้ผู้ผลิตจะต้องคิดให้มากขึ้นในการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะต้องร่วมรับผิดชอบจัดการในภายหลัง
การศึกษาเมื่อเร็วๆนี้ พบว่า ส่วนใหญ่หลักการ EPR จะถูกนำมาใช้ก็เมื่อมีการออกกฎหมายรองรับเพื่อบังคับให้ผู้ผลิตต้องปฏิบัติตาม โดยราวหนึ่งในสามเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก(ร้อยละ 35) รองลงมาคือบรรจุภัณฑ์ (17%) ยางรถยนต์ (17%) รถยนต์และแบตเตอรี่ (12%) และอื่นๆ เช่น น้ำมันเครื่องใช้แล้ว ผลิตภัณฑ์สี สารเคมี เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่และหลอดไฟ จะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกำหนดให้ใช้หลักการหรือกฎหมาย EPR ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการบริโภคสูงและมีต้นทุนการกำจัดค่อนข้างสูงด้วย
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของ EPR ที่มีประสิทธิภาพมากๆ ก็คือระบบการคิดค่ามัดจำ ลองนึกถึงระบบมัดจำขวดสมัย 30-40 ปีที่แล้ว สมัยก่อนขวดแก้วกินเสร็จก็ต้องรวบรวมเอาขวดมาคืนเพื่อจะได้เงินมัดจำ วิธีนี้ทำให้ผู้ผลิตสามารถนำบรรจุภัณฑ์ที่ใช้เสร็จแล้วกลับเข้าสู่ระบบได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์ หลักการนี้ยังใช้ได้ผล แม้จะเปลี่ยนมาเป็นขวดพลาสติกแล้วก็ตาม ในเยอรมนีที่มีระบบคิดค่ามัดจำขวดมีอัตราการรีไซเคิลขวดพลาสติกอยู่ที่ 99% เทียบกับอังกฤษที่ยังไม่มีกฎหมายมีอัตราการรีไซเคิลขวดพลาสติกอยู่ที่ 43% ในสหรัฐอเมริกา รัฐที่มีกฎหมายค่ามัดจำขวดยังสามารถประหยัดค่าเก็บและจัดการขยะมูลฝอยได้ปีละหลายร้อยล้านบาท
ลองคิดดูว่า หากผู้ผลิตมีการคิดค่ามัดจำบรรจุภัณฑ์ทุกประเภท เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเราต้องจ่ายค่ามัดจำขวดแก้ว ทำให้เราต้องนำขวดไปคืนที่ร้านทุกครั้งเพื่อจะได้ค่ามัดจำคืน พลาสติกจำนวนมากจะถูกนำเข้าสู่ระบบ รีไซเคิลแทนที่จะกลายเป็นขยะที่บ่อฝังกลบหรือหลุดรอดลงสู่แม่น้ำลำคลอง ออกสู่ทะเลและมหาสมุทร
ลองคิดดูว่า หากผู้ผลิต เลือกปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เป็นแบบที่สามารถนำมาใช้ใหม่ได้ (reuse) และส่งเสริมให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าแบบเติม (refill) เลือกวัสดุที่สามารถนำกลับมาแปรรูป (recycle) ได้ 100% จะช่วยลดการสร้างขยะได้ขนาดไหน
ถึงเวลาแล้ว!! ที่บริษัทผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ต้องมีส่วนช่วยแก้ปัญหาขยะพลาสติกอย่างจริงจังกว่านี้ โดยนำหลักการ EPR ไปใช้ในการออกแบบและจัดการผลิตภัณฑ์ตลอดวงจรชีวิต ไม่ใช่เพียงทำกิจกรรม CSR ฟอกเขียวไปเรื่อยๆ และโยนภาระกลับมาให้ผู้บริโภค เพราะจิตสำนึกเพียงอย่างเดียวไม่มีทางแก้วิกฤตขยะพลาสติกที่กำลังเกิดขึ้นได้
ทุกภาคส่วนในสังคมไทยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ควรศึกษาหลักการ EPR และเครื่องมือเชิงนโยบายอื่นๆ ที่ทั่วโลกได้นำมาใช้ เรียนรู้ประสบการณ์จากต่างประเทศและออกแบบระบบ EPR ที่เหมาะสมกับประเทศไทยที่จะช่วยให้เรามุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างแท้จริง
อ้างอิง
ผลการตรวจสอบแบรนด์(Brand Audit) จากขยะพลาสติกในประเทศไทย ปี 2562
Coca-Cola is world’s biggest plastics polluter – again
CP and Coca-Cola among worst offenders for plastic pollution in Thailand based on Greenpeace report
Extended producer responsibility
EPR: The good, the bad and the ugly
History of EPR
Plastic Atlas 2019
Stakeholder Views on Extended Producer Responsibility and the Circular Economy
The Bottle Deposit Debate
เรียนรู้ประสบการณ์การจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ในประเทศเยอรมนี
“ระบบความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นของผู้ผลิต (EPR)และระบบมัดจำคืนเงิน
(DRS)โดย สุจิตรา วาสนาดำรงดี สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การกลับมาของฝูงชนอีกครั้งที่ลานหน้าวิหารนักบุญเปโตร;
พระสันตะปาปาทรงเรียกร้องให้ร่วมกันปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อม
กรุงวาติกัน (สำนักข่าวรอยเตอร์)
ฝูงชนเริ่มกลับมารวมตัวกันที่ลานหน้าวิหารนักบุญเปโตรในวันอาทิตย์ เพื่อรับพรจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เมื่อทรงเสด็จมาที่หน้าต่างห้องของพระองค์ นับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 เดือน โดยพระองค์ทรงเรียกร้องให้เป็นปีที่เราไตร่ตรองในเรื่องสิ่งแวดล้อม
พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงโบกพระหัตถ์ให้ฝูงชนที่มาเข้าเฝ้าที่ลานหน้าพระวิหารนักบุญเปโตร หลังสวดบทภาวนาราชินีสวรรค์ โดยไม่มีการร่วมสวดของฝูงชน เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19 ที่กรุงวาติกัน เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2020 (Vatican Media/Handout via REUTERS ATTENTION EDITORS-THIS IMAGE HAS BEEN SUPPLIED BY A THIRD PARTY.)
มีผู้คนไม่มากนักไปที่ลานหน้าพระวิหารในวันจันทร์ (25พฤษภาคม 2020) เมื่อมีการเปิดพระวิหารและลานชุมนุมอีกครั้ง หลังจากที่ปิดมานานเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโคโลน่า ผู้คนยังคงต้องรักษาระยะห่างและสวมหน้ากาก
พระสันตะปาปาทรงกล่าวทางอินเตอร์เน็ต จากห้องสมุดของพระองค์ โดยผู้คนที่ลานหน้าวิหารเฝ้าชมทางจอภาพขนาดใหญ่ แล้วไปรับพระพรด้วยความสงบที่หน้าต่างห้องของพระสันตะปาปา ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พระองค์ทรงอวยพร โดยไม่มีผู้คนในลานชุมนุมเลย
เมื่อวันอาทิตย์ (24พฤษภาคม 2020) เป็นวันครบรอบ 5 ปีของพระสมณสาสน์ “เลาดาโตซี” เกี่ยวกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรียกร้องให้ลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล และสนับสนุนแนวความคิดหลักทางวิทยาศาสตร์ ว่ากิจกรรมของมนุษย์มีส่วนในการทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน (Global warming)
พระองค์ทรงเรียกร้องให้คริสตชนคาทอลิกรำพึงไตร่ตรองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ในช่วงเวลา 12 เดือนนับจากนี้ ว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม และจะทำอย่างไรที่จะช่วยบรรดาผู้ที่เดือดร้อนที่สุดจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate change)
พระองค์ทรงแสดงความยินดีกับคริสตชนคาทอลิกในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ในโอกาสวันฉลองทางศาสนาแห่งชาติ คาทอลิกในประเทศจีนต้องเผชิญการแบ่งแยกเป็นเวลามากกว่าครึ่งศตวรรษ กลายเป็นพระศาสนจักร 2 ส่วน คือ พระศาสนจักรที่ได้รับการรับรองจากรัฐ และพระศาสนจักรใต้ดินที่รัฐไม่รับรอง แต่เป็นกลุ่มที่เคารพต่อศูนย์กลางคาทอลิกที่กรุงโรม
ในปี 2018 พระสันตะสำนักและกรุงปักกิ่งได้สร้างประวัติศาสตร์โดยการร่วมกันลงนามในข้อตกลง เรื่องการแต่งตั้งพระสังฆราช (Bishops) ซึ่งหมายความว่า พระสังฆราชทุกองค์ (ของพระศาสนจักรทั้ง 2 กลุ่มในประเทศจีน ) จะยอมรับอำนาจปกครองของพระสันตะปาปา แต่แล้วก็เกิดเหตุติดขัดขึ้น คือ ในเดือนมิถุนายน วาติกันได้ขอให้ปักกิ่งระงับการกดดันพระสงฆ์ที่ไม่ยอมลงนามร่วมกับรัฐบาล
เรื่องนี้ได้มีการรื้อฟื้นอีกครั้งในเดือนกันยายน ทำให้เกิดการแตกแยกของคาทอลิกในประเทศจีน และทั่วโลก และมีคำวิจารณ์ว่าพระสันตะปาปายอมอ่อนข้อให้รัฐบาลคอมมิวนิสต์
รายงานข่าวโดย Philip Pullella เรียบเรียงโดย Mark Potter
Our Standards: The Thomson Reuters Trust Principles.
วิสัยทัศน์ พันธกิจ และนโยบายปฏิบัติหลัก เพื่อการพัฒนาชีวิตและพันธกิจของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ค.ศ.2020
นโยบายปฏิบัติหลัก เพื่อการเจริญชีวิตและปฏิบัติพันธกิจ งาน โครงการ กิจกรรม ในปี ค.ศ. 2020
1. เพื่อคริสตชนทุกคนมีความเข้าใจกฤษฎีกาสมัชชาฯ 2015 และลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
2. เพื่อเสริมสร้างชีวิตแห่งการเป็นศิษย์พระคริสต์ที่มีพระวาจาเป็นศูนย์กลาง และเป็นศิษย์ธรรมทูตที่แท้จริงท่ามกลางสังคมโลกปัจจุบัน โดยอาศัยวิถีชุมชนคริสตชนย่อย และชีวิตหมู่คณะของชุมชนคริสตชนในรูปแบบใหม่
3. เพื่อให้ความสำคัญกับชีวิตครอบครัว ตามคำสอนของพระศาสนจักร และคำสอนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
4. เพื่อเน้นความเอาใจใส่ต่อสิ่งแวดล้อม ตามสมณสาสน์ Laudato Si’
5. เพื่อใช้สื่อสมัยใหม่ในงานอภิบาลและประกาศข่าวดีอย่างเต็มที่
6. เพื่อให้มีการประเมินผลโครงการ/กิจกรรมต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพตอบสนองเป้าหมาย
7. เพื่อการจัดการศึกษา การอบรมบุคลากร ที่มีความเสมอภาคตามเจตนารมณ์พระวรสาร ในชุมชนวัด โรงเรียน เป็นสนามประกาศข่าวดี
8. เพื่อการเฉลิมฉลอง 350 ปีการสถาปนามิสซังสยาม และ การฉลองปีพระวาจา ตามคำเชิญชวนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส และสหพันธ์คาทอลิกเพื่อพระคัมภีร์ ในปี ค.ศ. 2020
jan 1,2015 | อยุธยา | ประชุม |
sep 3,2015 | นครปฐม | ประชุม |
แผนกงานต่างๆ ในฝ่ายสังคม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
ศูนย์คาทอลิกนักบุญอันนาเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น
ศูนย์คาทอลิกนักบุญอันนาเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น ตั้งอยู่ในบริเวณวัดนักบุญอันนา ท่าจีน จ.สมุทรสาคร เพื่อให้ความช่วยเหลือในด้านมนุษย์ธรรม เป็นต้นในเรื่องการให้การศึกษา การดูแลสุขอนามัย ส่งเสริมวัฒนธรรมชุมชนแก่กลุ่มแรงงานอพยพที่เข้ามาทำงานในเขตจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า มอญ เขมร ฯลฯ โดยการสนับสนุนของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นพันธกิจในงานด้านสังคม ในการปฏิบัติความรักต่อเพื่อนพี่น้อง คนด้อยโอกาส คนชายขอบสังคมและคนพลัดถิ่น
ปัจจุบันมีศูนย์ 3 ศูนย์ ส่วนใหญ่เป็นเด็กต่างด้าวชาติพันธ์ พม่า มอญ กะเหรี่ยง โดยทั้ง 3 ศูนย์มีเด็กมาเรียนเฉลี่ยราว 380 คน
1. ศูนย์คาทอลิกนักบุญอันนาเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น St.Ann Catholic Center For Migrants (ACCM)
ตั้งอยู่ที่วัดนักบุญอันนา ท่าจีน เปิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2010 ณ ปัจจุบัน(ปี 2561)มีเด็กมาเรียนวันละ 160 คน ชาย 100 คน หญิง 60 คน
2. ศูนย์มาริสต์เพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น Marist Center For Migrants (MCM)
ตั้งอยู่ย่านคลองครุ เปิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2011 มี บราเดอร์จากคณะมาริสต์ ดำเนินการด้านการเรียนการสอน
ปัจจุบัน(ปี 2561 )มีเด็กมาเรียนวันละ 120 คน ชาย 56 คน หญิง 64 คน
3. ศูนย์คาทอลิกนักบุญยออากิมเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น St.Joachim Catholic Center For Migrants (JCCM)
ตั้งอยู่บ้านเอื้ออาทร ท่าจีน เปิดการเรียนการสอนเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2011 ที่ผ่านมา ปัจจุบัน(ปี 2561)มีเด็กมาเรียนวันละ 100 คน ชาย 55 คน หญิง 45 คน
วัตถุประสงค์
1.เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้พลัดถิ่น แรงงานต่างด้าวและผู้ติดตาม(บุตร)ในเรื่องการศึกษา สุขภาพ และอนามัย
2.เพื่อส่งเสริมการสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมเพื่อความเป็นอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
3.เพื่อส่งเสริมให้ผู้พลัดถิ่น แรงงานต่างด้าวและผู้ติดตาม(บุตร)สามารถพึ่งตนเองได้
4.เพื่อส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และลดความยากไร้แก่ผู้พลัดถิ่นและแรงงานต่างด้าว
กิจกรรม
1. ให้การศึกษาแก่เด็กต่างด้าวอายุตั้งแต่ 4-15 ปี
2. สอนภาษาไทยให้แก่วัยแรงงานในวันอาทิตย์
3. ส่งเสริมเรื่องสุขภาพอนามัย และช่วยเหลือกรณีเจ็บป่วยแก่แรงงานต่างด้าวและผู้ติดตาม
4. จัดกิจกรรมให้ความรู้ในด้านต่างๆ แก่ผู้ปกครอง และเด็กๆ
5. จัดกิจกรรมเพื่อให้แรงงานต่างด้าวและเด็กได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมวันสำคัญ และเทศกาลสำคัญต่างๆ
6. ดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นการให้ความช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวทั่วๆไป เช่น กรณีให้ความช่วยเหลือแรงงานต่างด้าวที่ประสบปัญหา, การทำ Passportให้กับเด็กๆที่เรียนที่ศูนย์ฯ เป็นต้น
สถานที่ติดต่อ
ศูนย์คาทอลิกนักบุญอันนาเพื่อผู้อพยพย้ายถิ่น
วัดนักบุญอันนา ท่าจีน
79 ม.4 ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000
โทร.(034)819-056 ถึง 7
--------------------------------------------------------
- คลิป1
- คลิป2
- คลิป3
- คลิป4
- Fratelli Tutti